Love is messy , and horrible , and selfish and Bold

อภิษฐา
1 min readMay 4, 2020

“นานมาแล้ว มนุษย์เรามีรูปร่างแตกต่างจากปัจจุบัน จากหัวเดียว ก็มีสอง และจากสอง ก็กลายเป็นสี่ แน่นอนว่าทั้งสองร่างนั้นเป็นคนละคนกันโดยสิ้นเชิ้ง เราต่างผูกพันจนพระเจ้าหวาดกลัว ว่าสุดท้ายแล้วมนุษย์โลกพวกนี้คงสิ้นศรัทธาในสวรรค์และนรก จึงได้ทำการแยกหนึ่งคนออกเป็นสองร่าง เพื่อให้ตามหาอีกฝ่ายไปจนกว่าจะได้พบเจอ และเติมเต็มอย่างสมบูรณ์อีกครั้ง. . .”

มันเป็นอินโทรจากภาพยนต์ยามดึกตามการจับใจความของเราเอง , คนที่ตาใกล้จะปิดเพราะความง่วง อากาศร้อน ๆ เวลาห้าทุ่ม ( ใครว่าตอนกลางคืนจะเย็นขึ้น คิดผิดแล้วล่ะ ) กับอาการไม่อยากทำอะไรเลย ทำให้เราต้องลองเปิดหนังสักเรื่องดูฆ่าเวลา รอให้เช้ามืดมาถึงเพื่อที่จะได้เริ่มต้นวันใหม่ตามปกติ

ความรักคือความยุ่งเหยิง สยดสยองเห็นแก่ตัว และความกล้าหาญ

หนึ่งในประโยคจากตัวเอกของเรื่อง ที่กล่าวถึงนิยาม ‘ความรัก’ ของตัวเอง เรารักในความลุ่มลึกทางการตีความ การไหลไปกับสิ่งที่ดูจับต้องไม่ได้ แต่เธอกลับจับประโยคเหล่านั้นมาแยกเป็นคำ แบบพรรณามันออกมาด้วยห้วงอารมณ์ที่ลึกซึ้ง ราวกับเข้าไปนั่งอยู่ในใจนักเขียนหนังสืออ่านยากเหล่านั้น (หรือความจริงเธออาจจะเป็นหนึ่งในพวกเขาก็ได้)

โคตร-จะ-เท่

จะเห็นได้ว่ามันสวยงาม , บทประพันธ์ ตัวอักษร ดนตรี และภาพยนต์ ล้วนสร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์สองอย่าง หนึ่ง เข้าใจผู้สร้าง และสอง เข้าใจตนเอง มันจะมีประตูบานหนึ่งที่ผู้สร้างหนังไม่สามารถใช้รหัสผ่าน ‘เพราะฉันเป็นคนสร้างเรื่องนี้น่ะซี!’ เพื่อเข้าไปอ่านว่าคุณกำลังคิดอะไร เพราะบ่อยครั้งสิ่งที่คุณได้จากตัวละครตัวนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่อยู่นอกเหนือการตีความของผู้สร้าง (ฉันวาดโครงร่างของปราสาท แต่คนดูกลับเติมห้องใต้ดินพร้อมมัมมี่จากสุสานซะอย่างนั้นน่ะ นั่นไม่ยุติธรรมเลย!)

การตีความของภาษาเป็นเรื่องมหัศจรรย์มาก หลายครั้งที่มันชวนให้ครุ่นคิดในเชิงศิลปะ และบ่อยครั้งที่มันถูกละเลยในการนำมาใช้เพื่อก้าวข้ามกำแพงของภาษา จากการที่พ่อของแอลลี่พบเจอในแวดวงวิศวกรที่เขาเป็นอัจฉริยะเลยล่ะ

ความรักคือการที่ฉันคิดถึงเธอทุกวัน ยิ้มกับตัวเองเวลาเธอเดินผ่าน และมองว่าเธอเป็นมากกว่าใครสักคนทั่วไป

ฉากที่เราชอบมาก คงจะเป็นฉากเทียบระหว่างตอนที่แอลลี่กำลังนั่งดูหนังรักบทแมสกับพอลในห้องนั่งเล่น นางเอกในทีวีที่นั่งอยู่ในโบกี้ , เธอยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับน้ำตาที่เอ่อล้นขอบตา สูดจมูกเล็กน้อย ก่อนจะผินหน้าไปทางหน้าต่าง ปู๊น-ปู๊น , รถไฟเคลื่อนที่แล้ว กล่องเหล็กทรงยาวหลายขบวนกำลังเพิ่มระดับความเร็วไปตามรางที่เริ่มมีประกายไฟ ก่อนที่ร่างของพระเอกจะปรากฎขึ้นตรงนั้นเอง ฉึกฉัก-ฉึกฉัก , เขากำลังก้าวเต็มฝ่าเท้า วิ่งให้ทันรถไฟเพื่อที่จะได้เห็นหน้าคนรักอีกครั้ง หญิงสาวร้องไห้ ผู้คนในโบกี้ทอดสายตาด้วยความเห็นใจ เพลงประกอบดังเป็นพื้นหลัง

“เขาเหมือนไอ้โง่ และนางเอกคงคิดว่าดีเสียอีกที่ฉันไม่ต้องมาติดแหง่กอยู่กับเขา”

เป็นประโยคที่ใจร้ายมาก แต่เราแน่ใจว่าใครหลายคนก็คงแอบเห็นด้วย ( me : ค่อยๆ ยกมือขึ้น ) แอลลี่ไม่อยากจะเชื่อว่าผู้หญิงคนนั้นจะร้องไห้ออกมาจริงๆ เล่นเอาพอลที่นั่งจ้องหน้าจอตาไม่กระพริบต้องสวนขึ้นมาบ้าง

“แต่เธอดูมีความสุขนะ”

“งั้นเธอก็คงโง่กว่า”

ความรักคือการไม่อยากเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่เป็นตัวเขา เธอจะเข้าใจมันได้อย่างไม่ต้องพยายาม

“เขาให้ความรู้สึกของ — ความสบายใจ”

แอลลี่ไม่อยากเชื่อหู , กลายเป็นว่าวิธีบ้าบิ่น โพล่งทุกอย่างในใจออกไปในแบบฉบับของพอล กลับเป็นสิ่งที่ทำให้แอทสเตอร์มองว่าเขาน่ารักซะอย่างนั้น! ตรงจุดนี้เราว่าเธอได้เรียนรู้อะไรบางอย่างที่มากมาย ผ่านการกระทำเล็กน้อยของเขา นั่นทำให้ตอนสุดท้ายที่แอลลี่เป็นฝ่ายก้าวขาขึ้นรถไฟบ้าง เธอจึงเข้าใจว่าทำไมภาพตรงหน้ามันถึงได้พร่ามัวไปหมด แม้ว่าจะมีแว่นตาที่ใส่เป็นประจำวางอยู่บนใบหน้าก็ตาม

ความรักอาจจะไม่ใช้การรอคอย the half of you แต่เป็นการคว้ามันไว้ และพยายามให้มากที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้

จนรายชื่อนักแสดงค่อย ๆ เลื่อนขึ้นมาบนหน้าจอโทรทัศน์ เราก็ยังคงนั่งย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นแรกของเรื่องราวน่าสนใจ มันเป็นหนังเรื่อย ๆ ไม่หวือหวา เหมือนจะให้ข้อคิดบางอย่าง แต่ก็ไม่ได้ชัดเจนขนาดนั้น มันสอดแทรกประเด็นที่ไม่ยากเกินตีความ แต่ก็นั่นล่ะ , ใคร ๆ ก็สามารถเล่าเรื่องนี้ในอารมณ์ของเขาตอนนั้นได้

มีอีกเรื่องที่เราคิดได้ ก็คือ มันคงไม่เป็นไรหรอกถ้าเราจะปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นพวกคลั่งรัก (จุ๊ ๆ) แม้ว่าความคิดที่น่าค้นหาและการกระทำที่คลุมเครือจะเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งของความสัมพันธ์ก็เถอะ

เพราะหลายครั้ง , ความรักก็สามารถสวยงามได้ แม้จะมีพล็อตที่แมสมากก็ตาม

--

--

อภิษฐา
อภิษฐา

Written by อภิษฐา

I'd like to make myself believe that planet earth turns slowly

No responses yet